วันที่: 16-02-2014
1. Transfer Factor คืออะไร?
…..Transfer Factor คือโมเลกุลจำนวนหนึ่งที่มีคุณสมบัติในการสื่อสารและให้ข้อมูลความรู้เกี่ยว กับภูมิคุ้มกันแก่ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เช่นเดียวกันธรรมชาติก็ได้ใช้ Transfer Factor เพื่อที่จะส่งข้อมูลเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันจากระบบภูมิคุ้มกันของคนหนึ่งไปยัง อีกคนหนึ่ง นี่คือที่มาที่ไปของชื่อ Transfer Factor ซึ่งมีความหมายว่าตัวปัจจัย (Factor) ที่ทำหน้าที่ถ่ายทอด (Transfer) ภูมิคุ้มกันจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง
2. Transfer Factor ถูกค้นพบได้อย่างไร?
…..ในปี 1949 ดร.ลอเร็นซ์ ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับปัญหาของวัณโรค เขาพยายามค้นหาว่าจะมีส่วนประกอบใดของเลือดบ้างที่จะสามารถถ่ายถอดความไวต่อ สิ่งกระตุ้นของเชื้อวัณโรคจากผู้บริจาคเลือดที่เคยเป็นวัณโรคสู้ผู้ที่กำลัง ป่วยเป็นวัณโรค อย่างไรก็ตามการถ่ายเลือดนั้นสามารถกระทำได้เฉพาะในกลุ่มคนที่มีเลือดชนิด เดียวกันเท่านั้น ดร.ลอเร็นซ์ ได้เริ่มจากการเปิดเซลล์เม็ดเลือดขาว และคัดแยกส่วนประกอบต่าง ๆ ของเซลล์ออกตามขนาดและสัดส่วนที่แตกต่างกันไปเขาได้ค้นพบว่าเศษชิ้นเล็กชิ้น น้อยของโมเลกุลขนาดเล็กสามารถที่จะส่งผลผ่านความไวต่อสิ่งกระตุ้นของสารสกัด ที่ใช้ทดสอบวัณโรคไปยังผู้ป่วยได้ และนี่คือสิ่งที่ ดร.ลอเร็นซ์ เรียกว่า Transfer Factor
3.เลือดเป็นแหล่งเดียวที่สามารถพบTransfer Factor ใช่หรือไม่ ?
…..ถ้าโดยเริ่มแรกแล้วใช่ จนกระทั่งมาถึงช่วงประมาณปี ค.ศ.1985 ที่มีนักวิจัยสองท่านได้ค้นพบว่า Transfer Factor ก็สามารถพบได้ในน้ำนมแรกของมารดาเช่นกัน การยืนยันสำหรับการค้นพบในครั้งนี้ส่งผลให้ได้รับเอกสารสิทธิ์ในปี 1989 และในปัจจุบันนี้น้ำนมแรกของมารดาเป็นแหล่งที่ดีที่สุดสำหรับ Transfer Factor
4. อะไรคือน้ำนมแรก?
…..น้ำนมแรกคือน้ำนมที่มารดาผลิตทันทีหลังการให้กำเนิดบุตร
5.อะไรเป็นแรงบันดาลใจให้นักวิทยาศาสตร์ในการเริ่มแสวงหาTransfer Factor ในน้ำนมแรกของมารดา?
…..โดยทั่วไปแล้วผู้ที่เลี้ยงวัวจะ ทราบดีว่าถ้าลูกวัวตัวใดก็ตามไม่ได้รับน้ำนมแรกจากแม่วัว ส่วนใหญ่แล้วลูกวัวจะตายภายในระยะเวลาอันสั้นถึงแม้ว่าลูกวัวเหล่านั้นจะได้ รับอาหารเป็นจำนวนมากก็ตาม การตายในกรณีเช่นนี้มักเกิดขึ้นจากการติดเชื้อต่าง ๆ ที่มีสิ่งมีชีวิตทั่วไปเป็นพาหนะ ไม่ว่าจะโดยสาเหตุใดก็ตาม ระบบภูมิคุ้มกันของลูกวัวเหล่านี้จะไม่สามารถทำงานได้ และ นี่คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่ามีข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันที่ถูก ถ่ายทอดจากมารดาไปสู่บุตรได้ขาดหายไป คำถามที่เกิดขึ้นตามมาก็คือสิ่งที่ขาดหายไปนั้นใช่ Transfer Factor หรือไม่? ซึ่งคำตอบก็คือใช่อย่างแน่นอน
6.จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่แพ้นมและน้ำตาลแลคโตสในเมื่อ Transfer Factor ถูกสกัดออกจากน้ำนมแรกของมารดา?
…..การแพ้นมเกิดจากโปรตีนนมจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยฟอฟโฟโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่าเคซีน (Casein) ซึ่งเป็นโปรตีนหลักที่พบในนมและเนย และสาเหตุรองลงมาเกิดจากอิมมิวโนโกลบิวลินส์ (Immunoglobulins) ซึ่งเป็นโปรตีนจำพวกหนึ่งที่ไม่ละลายในน้ำแต่จะละลายในสารละลายเกลือ โปรตีนทั้งสองชนิดนี้ได้ถูกกำจัดออกจาก Transfer Factor โดยหมดสิ้น การแพ้น้ำตาลแลคโตสเป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้กับประชากรในแถบเอเชีย ตอนใต้ เราได้ให้ความสำคัญและตระหนักถึงปัญหานี้ เราจึงได้ทำการกำจัดน้ำตาลแลคโตสออกจากผลิตภัณฑ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
7.TransferFactorมีความแตกต่างอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับ ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่วางขายในตลาด ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถูกผลิตจากน้ำนมแรกของมารดาเช่นกัน?
…..เราให้ความสำคัญมากับไข่และน้ำนม แรกของมารดาซึ่งให้ประสิทธิภาพในการเพิ่มระดับภูมิคุ้มกัน ผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีคุณสมบัติดีจริง แต่ก็มีปัญหาบางอย่างที่ควรกล่าวถึง สิ่งแรกคือการแพ้นมและน้ำตาลแลคโตส เรื่องที่รองลงมาคือปัญหาเกี่ยวกับประสิทธิภาพของอิมมิวโนโกลบิวบินและแอนติ บอดี้ ซึ่งเป็นโปรตีนในร่างกายที่เกิดจากการกระตุ้นของแอนติเจนและมีฤทธิ์ในการ ต้านพิษของแอนติเจนเฉพาะอย่าง การใช้การรักษาด้วยแอนติบอดี้โดยการข้ามสายพันธุ์จะก่อให้เกิดประสิทธิภาพ เพียงแค่ในระยะสั้น การใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานจะทำให้ประสิทธิภาพด้อยลง เนื่องจากร่างกายของผู้รับได้พัฒนาแอนติบอดี้ที่มีอยู่ในร่างกายให้เป็น แอนติบอดี้ที่แปลกใหม่ การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นการทำลายประสิทธิภาพของตัวเอง การรักษาโดยใช้แอนติบอดี้จะถูกกระทำผ่านทางหลอดเลือดดำ เนื่องจากบริโภคผ่านทางปากจะทำให้กรดเอซิด ในกระเพาะอาหารมีคุณสมบัติเสื่อมลง
8.TransferFactorให้ประโยชน์แก่เฉพาะทารกแรกเกิดเท่านั้นหรือ?
…..Transfer Factor ให้ประโยชน์แก่ทุกคนที่ต้องการเพิ่มระดับภูมิคุ้มกันให้มากขั้นเป็นพิเศษ กลุ่มคนที่ควรจะได้รับการเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ระบบภูมิคุ้มกันโรคมากที่ สุดคือ เด็ก ผู้สูงอายุ และบุคคลที่อยู่ภายใต้ความเครียดหรือความกดดันโดยทั่วไปแล้ว ทุกคนแทบจะอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งดังที่กล่าวมาแล้ว ทุกวันนี้พวกเราค่อยข้างที่จะพูดถึงกันมากเกี่ยวกับยุคแห่งการให้กำเนิด บุตร ผู้คนส่วนใหญ่กำลังอยู่ในภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันมีความแข็งแรงน้อยลง Transfer Factor เป็นทางหนึ่งที่สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ระบบภูมิคุ้มกันโรค
9. Transfer Factor มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรือไม่?
…..เริ่มตั้งแต่การค้นพบโดย ดร.ลอเร็นซ์ ในปี 1949 Transfer Factor ได้ถูกทำการศึกษาและค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมากกว่า 3,000 ครั้ง และได้มีการตีพิมพ์เกี่ยวกับ Transfer Factor โดย ดร.เฮนเนน เขาได้เขียนบทสรุปบางส่วนเกี่ยวกับการทำวิจัยเรื่องนี้ลงในสมุดจดบันทึกประ มาร 48 หน้า ซึ่งบันทึกเล่มนี้สามารถขอรับได้จาก Woodland Books ในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยประชาชนทั่วไป
10.ถ้าTransfer Factor มีประสิทธิภาพสูงดังที่กล่าวไว้จริง ทำไมอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเภสัชภัณฑ์จึงไม่ให้ความสำคัญกับการผลิต Transfer Factor ?
…..ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่เรามองเห็น ในประเทศต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน เชคโกสวาเกีย เยอรมัน ฮังการี โปแลนด์ และญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม Transfer Factor มีประวัติที่น่าสนใจในประเทศสหรัฐอเมริกา ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ Transfer Factor ได้ผ่านการศึกษาแบบธรรมดาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันโรคและการสร้างภูมิคุ้มกันโรค ไปอย่างรวดเร็ว ในระหว่างปี 1950-59 ยาปฏิชีวนะเป็นประเภทยาที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ตามมาด้วยการใช้อินทรีย์สารที่ละลายในไขมันในช่วงปี 1960-69 ตัวอย่าง เช่น การใช้ฮอร์โมนคอร์ทิโซนเพื่อลดการอักเสบและการใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ เช่น เอตินิล เอสโตรเจน และโปรเจสติน ซึ่งถูกใช้ในการผลิตยาคุมกำเนิด ถึงแม้ว่า Transfer Factor มีการเริ่มต้นที่ล่าช้า แต่ทว่า Transfer Factor ได้เข้าสู่ระยะที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงปี 1970 ไปจนกระทั่งประมาณปี 1983 อย่างไรก็ตามผลวิจัยที่ได้มีความไม่แน่นอนหรือไม่สอดคล้องกัน เนื่องจากบางครั้งนักวิจัยด้วยความกระตือรือร้นมากกว่าที่จะใช้ความสามารถ และความเชี่ยวชาญ ซึ่งสิ่งที่ขาดตกบกพร่องจากการสำรวจก็คือ หลักวิชารายงานการวิเคราะห์ที่เชื่อถือได้สำหรับใช้ในการควบคุมคุณภาพของ ผลิตภัณฑ์ ปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพไม่ได้รับการลงความเห็นจนกระทั่วในราวปี 1985 เนื่องจาก Transfer Factor ไม่ได้มีเพียงเอกลักษณ์เดียว บริษัทที่ทำเกี่ยวกับเภสัชกรรมจึงพยายามที่จะทำส่วนประกอบให้บริสุทธิ์โดย ที่ไม่ทำให้เกิดการสูญเสียประสิทธิภาพของ Transfer Factor การยึดติดกับปัญหาเรื่องเงินทุนสำหรับการวิจัย ซึ่งเป็นปัญหาเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อภาวะติดเชื้อเป็นที่จังตามองและถูกตีพิมพ์ลงสิ่งที่ตีพิมพ์ที่เกี่ยวกับ เภสัชภัณฑ์ ทำให้ Transfer Factor กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง เหตุเพราะนักวิจัยเชื่อมั่นว่า Transfer Factor เป็นหนึ่งในสิ่งบำบัดเพียงไม่กี่ประเภท ที่มีประสิทธิภาพในการต่อสู้กับปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ที่เกิดจากการได้รับเชื้อไวรัส
11.มีเหตุผลอธิบายหรือไม่ว่าเหตุใดที่ผ่านมาเราจึงไม่เคยเห็น Transfer Factor ถูกวางขายพร้อมกับอาหารเสริมชนิดอื่น?
…..มี ซึ่งในขณะนี้การอนุญาตให้ Transfer Factor ถูกนำเข้าสู่ตลาดภายใต้ผลบังคับมีอยู่ 2 วิธี ซึ่งวิธีแรกเกิดจากการที่ว่า DSHEA ในปี 1994 โดยมีข้อบังคับว่าเรื่องราวของ Transfer Factor จะถูกถ่ายทอดได้ แต่ต้องไม่ทำให้สถานะที่ว่า Transfer Factor เป็นเพียงแค่ส่วนเสริมทางโภชนาการชนิดหนึ่งถูกบิดเบือนไป วิธีที่ 2 เกี่ยวกับกลวิธีหรือการเชี่ยวชาญเฉพาะอย่าง เนื่องจาก Transfer Factor เป็นแนวความคิดที่ล้ำยุคล้ำสมัย เราจึงต้องมีวิทยาการที่ล้ำสมัยเพื่อมารองรับเช่น ซึ่งกระบวนการและกรรมวิธีที่สามารถจะสกัด Transfer Factor ให้ได้จำนวนมหาศาลเพิ่มจะถูกพัฒนาให้สมบูรณ์แบบเมื่อไม่นานมานี้ และผลผลิตทางการค้าก็เริ่มที่จะหาซื้อได้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเช่นกัน
12. เราจะอธิบายหรือโต้ตอบกลับ Transfer Factor ได้อย่างไร?
…..การอธิบายอย่างง่ายก็คือ Transfer Factor สามารถช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ระบบภูมิคุ้มกันโรค แต่นี่เป็นการอธิบายธรรมดาเกินไปรวมทั้งสามารถใช้ในการอธิบายผลิตภัณฑ์ สมุนไพรและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอื่น ๆ เช่นกัน อย่างไรก็ตามผมขอตอบคำถามข้อนี้ โดยเริ่มจากการย้ำชัดว่า Transfer Factor ไม่ได้มีเพียงคุณสมบัติหรือเอกลักษณ์เดียว แต่แท้ที่จริงแล้ว Transfer Factor คือ ส่วนผสมที่ซับซ้อน ซึ่งประกอบด้วยส่วนผสมทั้งหมด 3 ส่วน ได้แก่ ตัวชักนำ (INDUCER Fraction) ตัวกระตุ้นการสร้างแอนติบอดี้เฉพาะอย่าง (ANTIGEN SPECIFIC Fraction) และตัวระงับหรือตัวยับยั้ง (SUPPRESSOR Fraction) เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันโรคของเราทำหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อจุลินทรีย์ ผมขออธิบายการทำงานของทั้ง 3 ส่วนที่กล่าวมา โดยใช้ภาวะทางการทหารมาเปรียบเทียบ เริ่มจากตัวชักนำซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับจ่าฝึกในการสร้างระบบภูมิคุ้มกันโรค ให้เป็นรูปเป็นร่าง โดยที่ไม่บอกว่าจะให้ออกไปสู้รบกับอะไร ในส่วนของตัวกระตุ้น จะทำหน้าที่เสมือนกลุ่มใบประกาศที่คอยชี้ตัวและแยกแยะสิ่งแปลกปลอมที่เป็น อันตรายถ้าเราเป็นเชื้อจุลินทรีย์ ผู้ชี้ตัวเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนกับลายนิ้วมือ เป็นต้น Transfer Factor แต่ละชุดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อที่จะต่อสู้กับเชื้อจุลินทรีย์หนึ่งชนิด ดังนั้นในที่สุดแล้ว ตัวระงับหรือตัวยับยั้งก็เปรียบเสมือนนักการเมืองที่ออกมาประกาศยกเลิก สงครามและยกเลิกการเคลื่อนกำลังพล ถ้าปราศจากการกระทำเช่นนี้ ความเสียหายที่มากเกินความจำเป็นจะเกิดขึ้นในระหว่างการต่อสู้และแม้กระทั่ง ภายในร่างกายของเราเองเนื่องจากถ้าระบบภูมิคุ้มกันโรคของเราไม่ยอมถอนกำลัง ออกหรือแสดงปฏิกิริยาโต้ตอบมากเกินไป เราจะประสบปัญหากับการเกิดโรคต่าง ๆ ที่มีสาเหตุมาจากระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น การแข็งตัวของเนื้อเยื่อตามจุดต่าง ๆ และอาการแพ้ชนิดต่าง ๆ Transfer Factor มีความแตกต่างจากอาหารเสริมทั่วไป เนื่องจาก Transfer Factor มีความเฉลียวฉลาดและความสามารถในการเข้าระบบภูมิคุ้มกันโรคสิ่งที่รักษาไว้ ซึ่งการทำงานที่มีประสิทธิภาพ คือ ข้อมูลความรู้และการศึกษาเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันที่ให้ความสำคัญแก่ระบบภูมิ คุ้มกัน สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดคือแนวความคิดใหม่ซึ่งเกี่ยวการเสริมสร้างความแข็งแรง ให้กับระบบภูมิคุ้มกัน
13.ได้มีการยืนยันและรับรองTransfer Factor โดยองค์การอาหารและยาหรือไม่?
…..มี ดังที่ถูกกล่าวไว้โดย ดร.ฟูเดนเบิร์ก พร๊อก ใน Drug Res. 1994 ,42 , p.378 โดยทั่วไปแล้ว บรรดาอาหารบำรุงร่างกายและอาหารเสริมจะไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหาร และยา และอาหารที่เป็นผลผลิต จากผลิตภัณฑ์นมมักจะอยู่ภายใต้สัญลักษณ์ของ GRAS ( Generally Recognized As Safe) ซึ่งหมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ทราบโดยทั่วกันว่ามีความปลอดภัย
14. Transfer Factor มีความปลอดภัยหรือไม่?
…..ปลอดภัย เนื่องจากนักวิจัยได้ทดลองโดยการแจกจ่าย Transfer Factor จำนวนมากให้แก่บรรดาอาสาสมัครแต่ละคนเพื่อพยายามที่จะกระตุ้นปฏิกิริยาและ การตอบสนองที่อาจเป็นผลร้ายต่อร่างกาย แต่การทดลองดังกล่าวไม่ได้บ่งชี้ให้เห็นถึงผลกระทบใด ๆ ในด้านลบ ถึงแม้ว่ากลุ่มอาสาสมัครได้บริโภค Transfer Factor เป็นจำนวนมากก็ตาม
15. Transfer Factor ปลอดภัยสำหรับทารกหรือไม่?
…..ปลอดภัย เนื่องจาก Transfer Factor ที่ได้จากน้ำนมแรกของมารดาถูกออกแบบและกำหนดโดยธรรมชาติสำหรับทารกแรกเกิด การกำจัดการที่ทำให้เกิดการแพ้นมและน้ำตาลแลคโตสออก ทำให้เหลือเพียงแค่ส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับการให้ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิคุ้ม กันวิทยาในยารูปแบบของ Transfer Factor
|
|
|